วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2555

น้ำตาเช็ดหัวเข่า กับสัญญาจะหมั้น




สัญญาจะหมั้น

ว่าด้วยเรื่องความรักแล้ว  ผู้หญิงทอดกายก็เพื่อให้ได้มาซึ่งใจของชาย  เวลาชายหญิงมีความรักกันผู้ชายก็มักจะสัญญิงสัญญาต่างๆ นาๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งกายของหญิง  สุดท้ายหากการคบหากันมิได้เกิดจากความรักจริงแล้ว  การทอดทิ้ง หลบหน้า ก็จะเกิดขึ้นเสมอ  ดังเรื่องราวของนางสาวสุดสวยและนายหนุ่มหล่อ

นางสาวสุดสวยกับนายหนุ่มหล่อ รักใคร่ชอบพอกันมาสักระยะ  ความรักของทั้งคู่เต็มไปด้วยความสดใสดุจน้ำค้างแรกที่โปรยปรายในยามรุ่ง  หวานและฉ่ำเย็น  แต่ด้วยความที่นายหนุ่มหล่อยังไม่พร้อมด้วยฐานะเงินทองที่จะเลี้ยงดู สู่ขอ นางสาวสวยให้เรียบร้อยตามประเพณี นายหนุ่มหล่อจึงทำหนังสือไว้ฉบับหนึ่ง  เพื่อเป็นหลักฐานให้นางสาวสุดสวยเชื่อมั่นว่าตนจะไม่ทอดทิ้งและจะหมั้นหมายแต่งงานอยู่กินกับนางสาวสุดสวยอย่างแน่นอน  ทั้งสองทำหนังสือต่อกัน ลงลายมือชื่อต่อหน้าผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายว่า  นายหนุ่มหล่อจะมาทำการสู่ขอหมั้นหมายกับนางสาวสวย ภายในวันที่.............ด้วยทรัพย์สินคือ..................และถ้าหากนายหนุ่มหล่อผิดสัญญา ไม่ทำตามที่ตกลงกันไว้ ยินยอมให้นางสาวสุดสวยดำเนินคดีอาญา และเรียกร้องค่าเสียหายจากตนได้ ตนจะยอมชดใช้ค่าเสียหายเป็นจำนวนเงิน ๑ แสนบาท  จากนั้น นางสาวสุดสวย ก็ยอมมอบกายและใจเป็นของนายหนุ่มจนสิ้นเชิง  เวลาผ่านไป น้ำค้างรุ่งอรุ่ณได้แปลเปลี่ยนไปกลายเป็นน้ำครำ  นายหนุ่มหล่อเริ่มเบื่อหน่ายและรำคาญนางสาวสุดสวย จึงคิดตีตัวออกห่าง ไม่เอาใจใส่นางสาวสุดสวยเหมือนเดิม  จนเมื่อถึงกำหนดตามสัญญา นางสาวสุดสวยจึงทวงถามสัญญา  นายหนุ่มหล่อกลับบ่ายเบี่ยงไม่รับผิดชอบและไม่ยอมแต่งงานกับนางสาวสุดสวย  ปัญหาว่า นางสาวสุดสวยจะนำหลักฐานที่ลงลายมือชื่อกันไว้อย่างดีนั้น มาฟ้องร้องให้นายหนุ่มหล่อแต่งงานกับตน หรือเรียกค่าเสียหายใดๆ ได้หรือไม่

คำสัญญิงสัญญาว่าจะหมั้นหมายก็ดี จะแต่งงานด้วยก็ดี ไม่ทอดทิ้งก็ดี  ไม่ว่าจะสัญญากันด้วยปากเปล่าหรือด้วยการทำสัญญาเป็นหนังสือว่า  ล้วนแล้วแต่ไม่มีผลในทางกฎหมาย บังคับไม่ได้ทั้งสิ้น  ด้วยเหตุผลตามกฎหมายดังนี้

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  สัญญาหมั้นจะสำเร็จบริบูรณ์ด้วยมีการให้ของหมั้น และของหมั้นจะต้องให้ในวันหมั้นเท่านั้น  จะทำหนังสือสัญญาหรือตกลงกันว่าของหมั้นจะนำมาให้ในวันอื่นนั้นไม่ได้

มาตรา 1437 การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์ สินอันเป็นของหมั้นให้แก่หญิง เพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น

ติดตามอ่านรายละเอียดเรื่องสัญญาหมั้นได้ที่นี่

ส่วนสัญญาที่ตกลงกันด้วยวาจาก็ดี ด้วยหนังสือก็ดีว่าจะทำการหมั้นหมายกันภายหน้านั้น ไม่มีผลบังคับตามกฎหมาย เพราะมิใช่สัญญาจะหมั้นนั้นไม่มีกฎหมายรับรองให้ทำได้ และสัญญาดังกล่าวไม่สามารถบังคับได้อย่างสัญญาทั่วไปเพราะเป็นสัญญาที่ไม่มีมูลหนี้ต่อกัน  ไม่มีความเป็นเจ้าหนี้และลูกหนี้ต่อกัน ไม่ใช่หนี้ที่ต้องชำระด้วยการกระทำหรืองดเว้นการกระทำ

มาตรา 194 ด้วยอำนาจแห่งมูลหนี้ เจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิจะเรียกให้ ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ อนึ่ง การชำระหนี้ด้วยงดเว้นการอันใดอันหนึ่ง ก็ย่อมมีได้

คำว่า ด้วยอำนาจแห่งมูลหนี้ นั้นหมายถึงกฎหมายในเรื่องนั้นๆ เปิดโอกาสให้ก่อหนี้ได้โดยชอบด้วยกฎหมาย  ในเมื่อกฎหมายแพ่งว่าด้วยครอบครัวได้บัญญัติไว้ชัดแล้วว่า การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์ สินอันเป็นของหมั้นให้แก่หญิง เพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น
และ
มาตรา 1458 การสมรสจะทำได้ต่อเมื่อชายหญิงยินยอมเป็นสามี ภริยากัน และต้องแสดงการยินยอมนั้นให้ปรากฏโดยเปิดเผยต่อหน้า นายทะเบียนและให้นายทะเบียนบันทึกความยินยอมนั้นไว้ด้วย 

มาตรา 1438 การหมั้นไม่เป็นเหตุที่จะร้องขอให้ศาลบังคับให้สมรสได้ ถ้าได้มีข้อตกลงกันไว้ว่าจะให้เบี้ยปรับในเมื่อผิดสัญญาหมั้นข้อตกลงนั้น เป็นโมฆะ 

สัญญาจะหมั้น โดยมีข้อตกลงว่าถ้าผิดสัญญาไม่ยอมสมรสด้วยจะดำเนินคดีตามกฎหมายก็ดี จะฟ้องเอาค่าปรับก็ดี จึงไม่มีผลบังคับใช้ เพราะเป็นสัญญาที่ขัดต่อมาตรา 1458 และ 1438 อย่างชัดเจน 
ใครจะบังคับใครมาแต่งงานกับใคร ย่อมเป็นไปไม่ได้เลย เมื่อการสมรสจะต้องกระทำด้วยความยินยอมของชายและหญิงแล้ว หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ยินยอมสมรส จะบังคับให้อีกฝ่ายหนึ่งสมรสนั้น กฏหมาย ไม่เปิดช่องให้กระทำได้

มาตรา 150 การใดมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดย กฎหมายเป็นการพ้นวิสัยหรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน การนั้นเป็นโมฆะ

ด้วยเหตุตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายข้างต้น นางสาวสุดสวยจึงต้องเสียสาวให้แก่นายสุดหล่อไปโดยที่ไม่สามารถเรียกร้องอะไรได้  นอกจาก  ผ้าเช็ดน้ำตาและความเจ็บใจ เท่านั้นเอง 





วันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2555

การใช้คำนำหน้านามของภิกษุ สามเณร






คำนำหน้านามนั้นสำคัญไฉน?

จริงอยู่.. คำนำหน้านามเป็นเพียงสมมุติบัญญัติในทางธรรม  ไม่สามารถยึดมั่นถือมั่นด้วยความเป็นเราเป็นของเราได้  แต่ในทางสังคมมนุษย์แล้วคำนำหน้านามย่อมมีความสำคัญด้วยเป็นการบ่งบอกสถานะของคนในสังคม  ซึ่งมีความจำเป็นสำหรับการอยู่ร่วมกันในสังคม  ต่างกับสัตว์ที่แม้อยู่รวมกันก็ไม่ต้องมีคำนำหน้านามแสดงสถานะ เพราะจ่าฝูงย่อมแสดงสถานะด้วยสภาวะสัจจะคือสภาวะอำนาจตามสัญชาตญาณ 

ในอดีต  คำนำนามหน้า  ถูกเรียกขานเพื่อแสดงศักดินาของคน เช่น การใช้คำนำหน้านามของชนชั้นไพร่ว่า “อำแดง” ในกรณีเป็นหญิง  “นาย” ในกรณีเป็นชาย และ “อี”  “ไอ้”  ในกรณีเป็นทาสหญิงและทาสชาย

ในส่วนของพระภิกษุ  สังคมไทยยกย่องไว้ในที่สูงกว่าศักดินาฆารวาส  พระภิกษุ สามเณร ในพระพุทธศาสนาจึงต้องมีคำนำหน้านามที่แยกจากคนทั่วไป คือ มีคำนำหน้านามอันสูงส่งว่า “พระ”  อะไรก็ตามที่คนไทยยกเป็นของสูงจะเรียกขานด้วยคำนำหน้านามว่า “พระ” เช่น พระเจ้าอยู่หัว ฯลฯ  พระอัยการ คือคำเรียกขานกฎหมายซึ่งยกไว้เป็นของสูง    พระบาลี  คือคำเรียกขานภาษาบาลีซึ่งถือเป็นภาษาสูง  จึงมีกฎหมายยกเว้นการทำบัตรประชาชนของพระ และให้พระต้องใช้คำนำหน้านามว่า  “พระ”  หรือ “พระมหา” กรณีสอบได้เป็นเปรียญธรรมตั้งแต่ประโยคสามขึ้นไป

การพูดหรือสนทนากับพระ  ญาติโยมมักให้เกรียติพระเสมอ  แม้เป็นกษัตริย์เมื่อจักสนทนากับพระ ก็จะต้องกราบไหว้พระ  สนทนาด้วยความนอบน้อม  เป็นครูบาอาจารย์จะสอนหนังสือพระ ก็ต้องถวายความรู้ด้วยความนอบน้อม  ก่อนสอนก็กราบไหว้  สอนเสร็จก็กราบไหว้  ผิดกับการสอนหนังสือแก่ฆารวาสทั่วไปที่ศิษย์ต้องกราบไหว้ขอความรู้จากอาจารย์  เมื่อเป็นดังนี้แล้ว  การแสดงสมณเพศจึงเป็นสิ่งสำคัญ  การที่ภิกษุ สามเณร ไม่แสดงสมณเพศส่งผลกระทบถึงสังคมหลายประการ  ปัจจุบันพบว่า พระภิกษุ สามเณรที่ใช้การสื่อสารระบบออนไลน์ทุกรูปแบบเช่น Facebook  ไม่เปิดเผย ไม่แสดงสมณเพศ  ทำให้เกิดปัญหาในการสนทนากับฆารวาสที่มิทราบว่าคู่สนทนาเป็นพระคุณเจ้า สีกาอาจจะสนทนาหยอกล้อด้วยคำมิควร และพระภิกษุ สามเณร  ที่มีจิตไม่บริสุทธิ์ ไม่ซื่อตรงต่อพระธรรมวินัย ไม่รักษาเสขิยวัตร ข้อปฏิบัติอันงดงาม อาศัยการซ่อนตัวในระบบออนไลน์ปฏิบัติหรือสนทนาในสิ่งที่มิควรปฏิบัติหรือสนทนาเป็นอันมาก 
ในปี พ.ศ.๒๔๗๙  พระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส และมติของ มหาเถรสมาคม จึงมีคำสั่งให้ภิกษุเซนต์นามที่แน่นอน  ซึ่งรวมไปถึงการแสดงนามที่แน่นอนในลักษณะการ Analogy กฎหมายด้วย  หากภิกษุแสดงนามไม่แน่นอน  คือไม่แสดงนามตามกฎหมายว่า “พระ” หรือ “พระมหา” มีโทษถึงจับสึก 

มติมหาเถรสมาคม เรื่องการใช้คำนำหน้านามของภิกษุ สามเณร

มติมหาเถรสมาคม เรื่องการใช้คำนำหน้านามพระมหา

ดังนั้น ภิกษุ สามเณร ในพระพุทธศาสนา จึงควรแสดงนาม และแสดงความเป็นสมณเพศให้ถูกต้อง  พระคุณเจ้ามีสิทธิที่จะใช้นามหรือแสดงนาม  แต่พระคุณเจ้าจะใช้สิทธิให้ขัดต่อบทบัญญัติของกฏหมายไม่ได้   พระคุณเจ้ามีเสรีภาพที่จะแสดงนาม  แต่พระคุณเจ้าจะใช้เสรีภาพขัดต่อสิทธิของผู้อื่น คือสิทธิของพุทธบริษัทที่มีสิทธิรู้ เห็นและตรวจสอบวินัยของพระคุณเจ้าไม่ได้